ไทย |
นับตั้งแต่เกิดแผ่นดินไหวที่ประเทศญี่ปุ่น ตามมาด้วยการระเบิดของโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ ก็มีแต่คนพูดถึงสารกัมมันตรังสีที่รั่วไหลออกมาจากเหตุระเบิดนั้น และหวาดวิตกถึงอันตราย จนเกิดคำถามว่าจะมีวิธีป้องกันไหม และจะมียาอะไรใช้ป้องกันได้บ้าง ผมจะค่อยๆ เล่าให้ฟังนะครับ
สารกัมมันตรังสีคืออะไร? มีอันตรายอย่างไร?
สารกัมมันตรังสีคือแร่ธาตุที่ไม่คงตัว เมื่อสลายตัวจะปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปรังสี ซึ่งสามารถทำลายเนื้อเยื่อของร่างกายมนุษย์ได้ หากได้รับรังสีในปริมาณมาก ก็อาจมีความผิดปกติเกิดขึ้นในทันทีและอาจเสียชีวิตได้แต่ถ้าได้รับรังสีในปริมาณน้อย ก็อาจไม่พบความผิดปกติในทันที โดยอาจพบความผิดปกติในภายหลัง ซึ่งอาจใช้เวลานานเป็นเดือนหรือเป็นปี
สารกัมมันตรังสีแต่ละชนิดอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายแตกต่างกัน เช่น ไอโอดีน 131 เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะสะสมที่ต่อมไทรอยด์ เนื่องจากไอโอดีนเป็นส่วนประกอบของฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมไทรอยด์ ถ้าร่างกายได้รับไอโอดีน 131 ในปริมาณมาก เนื้อเยื่อของต่อมไทรอยด์อาจถูกทำลาย ทำให้ร่างกายขาดฮอร์โมนดังกล่าว นอกจากนี้ไอโอดีน 131 ในปริมาณมาก อาจทำให้เป็นมะเร็งต่อมไทรอยด์ได้ด้วย
อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับสารกัมมันตรังสีได้ที่ เว็ปไซต์คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
สารกัมมันตรังสีมีโอกาสแพร่กระจายมาถึงเมืองไทยอย่างไร? และมาตรการป้องกันของประเทศไทย
(1) ไอโอดีน 131 มีคุณสมบัติเป็นก๊าซ ลอยไปได้ไกลตามกระแสลม และเข้าสู่ร่างกายทางลมหายใจแต่เนื่องจากประเทศไทยอยู่ทางทิศใต้ของญี่ปุ่น ประกอบกับขณะนี้ลมพัดจากญี่ปุ่นไปทางทิศตะวันออก ไปทางสหรัฐอเมริกา แคนาดา จึง มีโอกาสน้อยที่สารกัมมันตรังสีชนิดนี้จะมาถึงประเทศไทย แต่ถ้าลมเปลี่ยนทิศและพัดมาทางประเทศไทย กระแสลมจะต้องพัดผ่านภูเขา ทะเล และอีกหลายประเทศ ทำให้ลมที่พัดมาเหลือสารกัมมันตรังสีในระดับที่น้อยลง
มาตรการของประเทศไทยมีการติดตั้งสถานีตรวจวัดปริมาณรังสีในอากาศทั่วประเทศเพื่อป้องกันอันตรายต่อประชาชนในหลายจังหวัดเช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น สงขลา และกรุงเทพฯ เป็นต้น หากตรวจพบปริมาณรังสีสูงกว่า 1 ไมโคร
ซีเวิร์ตต่อชั่วโมง (µSv/h)กระทรวงสาธารณสุขจะเป็นผู้ประกาศเตือนภัยและชี้แจงและให้คำแนะนำต่อไปปัจจุบัน “ไม่พบ” ปริมาณรังสีที่ผิดปกติ
(2) อาหารนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นที่ปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี โดยเฉพาะ ซีเซียม137 เนื่องจากสารดังกล่าวมีคุณสมบัติเป็นอนุภาคขนาดเล็ก มักปนเปื้อนในอาหาร และเข้าสู่ร่างกายโดยการรับประทาน
มาตรการของประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ดำเนินมาตรการในการเฝ้าระวังตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2554 โดยสุ่มตัวอย่างส่งตรวจวัดสารกัมมันตรังสี ณ ด่านอาหารและยาทุกแห่ง รายงานผลการตรวจครั้งที่ 9 (ข่าวแจกวันที่ 30 มีนาคม 2554) ทุกตัวอย่างอยู่ในเกณฑ์ปกติ ท่านสามารถติดตามผลตรวจวัดสารกัมมันตรังสีในอาหารที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น โดยอ่านข้อมูลเพิ่มเติมจาก <a href=http://www.fda.moph.go.th/japan/Index.html>LINK นี้</a>
วิธีป้องกันสารกัมมันตรังสีมีวิธีอะไรบ้าง
วิธีที่มีการแนะนำคือการรับประทานยาโปแทสเซียมไอโอไดด์ (potassium iodide; KI)ยานี้ได้รับการรับรองโดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาและได้รับการแนะนำจากองค์การอนามัยโลกให้ใช้ในการป้องกันต่อมไทรอยด์จากสารกัมมันตรังสีไอโอดีน 131 ที่รั่วและแพร่กระจายออกมาจากเหตุระเบิดของโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ แต่ไม่มีผลป้องกันผลจากการได้รับสารกัมมันตรังสีชนิดอื่นๆ ข้อสำคัญที่ควรทราบด้วยคือ โปแทสเซียมไอโอไดด์ จะป้องกันเฉพาะต่อมไทรอยด์เท่านั้น ไม่ป้องกันร่างกายส่วนอื่นๆ
แต่ที่ไม่แนะนำคือ
ถ้าจะเดินทางเข้าพื้นที่เสี่ยงในญี่ปุ่น จำเป็นต้องใช้โปแทสเซียมไอโอไดด์หรือไม่
ผู้ที่จำเป็นต้องเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น ควรหาข้อมูลจากรัฐบาลญี่ปุ่นว่าพื้นที่ใดที่เสี่ยงและจำเป็นต้องรับประทานโปแทสเซียมไอโอไดด์ หรืออาจสอบถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของประเทศไทยประจำจุดคัดกรองผู้โดยสารขาออก
ณ สนามบินขนาดใหญ่เช่น สุวรรณภูมิ และสนามบินเชียงใหม่ เป็นต้น ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้มอบนโยบายให้องค์การเภสัชกรรมผลิตโปแทสเซียมไอโอไดด์ชนิดเม็ด หรือไอโอดีนเม็ด เพื่อแจกจ่ายให้ประชาชนที่เดินทางเข้าพื้นที่เสี่ยงในประเทศญี่ปุ่นโดยต้องผ่านการคัดกรองความจำเป็นก่อน
โปแทสเซียมไอโอไดด์ทำงานอย่างไร?
โปแทสเซียมไอโอไดด์ที่รับประทานเข้าไป จะถูกร่างกายเปลี่ยนให้อยู่ในรูปไอโอดีน ซึ่งจะถูกดูดซึมเข้าไปเก็บสะสมที่ต่อมไทรอยด์ ไอโอดีนที่ได้จากโปแทสเซียมไอโอไดด์นี้ไม่ก่อให้เกิดมะเร็งต่อมไทรอยด์ซึ่งต่างจากสารกัมมันตรังสีไอโอดีน 131 เมื่อต่อมไทรอยด์อิ่มตัวด้วยไอโอดีนที่ได้จากโปแทสเซียมไอโอไดด์ จึงทำให้สารกัมมันตรังสีไอโอดีน 131 ไม่สามารถเข้าไปสะสมที่ต่อมไทรอยด์ได้อีก และจะถูกขับออกจากร่างกาย
โปแทสเซียมไอโอไดด์ ใช้อย่างไร?
องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ใช้โปแทสเซียมไอโอไดด์ในขนาด 130 มิลลิกรัมต่อวัน สำหรับเด็กตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปและผู้ใหญ่ โดยควรรับประทานก่อนเข้าพื้นที่เสี่ยงหรือได้รับสารกัมมันตรังสีไอโอดีน 131 อย่างน้อย 12 ชั่วโมง ซึ่งจะให้ประสิทธิภาพในการป้องกันได้มากกว่าร้อยละ 90 และแนะนำให้รับประทานต่อเนื่องวันละ 1 ครั้ง จนกว่าจะออกจากบริเวณพื้นที่เสี่ยง การรับประทานยาวันละครั้งมีความจำเป็นเนื่องจากยามีผลป้องกันเป็นเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตามหากรับประทานโปแทสเซียมไอโอไดด์หลังจากได้รับสารกัมมันตรังสีแล้ว จะมีประสิทธิภาพลดลง
ยิ่งได้รับช้าเท่าใดจะมีผลป้องกันน้อยลงเท่านั้น มีข้อมูลว่าการรับประทานโปแทสเซียมไอโอไดด์หลังจากที่ได้รับไอโอดีน131 ไปแล้ว 3-4 ชั่วโมง มีประสิทธิภาพในการป้องกันเพียงร้อยละ 50 แต่หากเกิน 6 ชั่วโมงแล้ว ยังไม่มีการศึกษายืนยัน
ใครที่ห้ามใช้ โปแทสเซียมไอโอไดด์ ?
ผู้ที่มีประวัติแพ้ไอโอดีน เป็นโรคผิวหนังอักเสบบางชนิด หรือเป็นโรคไทรอยด์ที่มีความผิดปกติของหัวใจร่วมด้วย
โปแทสเซียมไอโอไดด์ก่ออันตรายอะไรบ้างไหม ?
โปแทสเซียมไอโอไดด์ก่ออันตรายได้ ดังนี้
หญิงตั้งครรภ์และมารดาที่ให้นมบุตรใช้ยานี้ได้หรือไม่
หญิงตั้งครรภ์และมารดาที่ให้นมบุตรหากมีความจำเป็นที่จะต้องเดินทางเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงภัย การรับประทานโปแทสเซียมไอโอไดด์นับว่าเป็นประโยชน์เพราะจะช่วยป้องกันทั้งแม่และทารก เนื่องจากยาสามารถผ่านรกและถูกขับออกมาในน้ำนมได้ อย่างไรก็ตาม โปแทสเซียมไอโอไดด์เป็นยาที่มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความผิดปกติต่อทารกได้ด้วย การใช้ยานี้ในหญิงตั้งครรภ์หรือมารดาที่ให้นมบุตรที่จำเป็นต้องเดินทางเข้าพื้นที่เสี่ยงต่อการได้รับสารกัมมันตรังสี จึงควรพิจารณาระหว่างประโยชน์และโทษก่อนที่จะใช้ยานี้ และหากจำเป็นต้องใช้ยา ควรใช้ในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น
โปแทสเซียมไอโอไดด์จะเก็บรักษาอย่างไร
โปแทสเซียมไอโอไดด์ควรเก็บในภาชนะบรรจุที่แห้ง ปิดมิดชิด เก็บให้พ้นแสง และต้องระวังความชื้นเนื่องจากโปแทสเซียมมีคุณสมบัติในการดึงน้ำเข้าหาตัว ทำให้เม็ดยาชื้นและสีเปลี่ยนแปลงได้ เพราะฉะนั้นหากสังเกตว่าเม็ดยาชึ้นและและสีเปลี่ยนแปลงไปไม่ควรรับประทานยานี้
สรุป
การใช้โปแทสเซียมไอโอไดด์ แม้จะเป็นยาที่แนะนำให้ใช้เพื่อป้องกันอันตรายจากสารกัมมันตรังสีไอโอดีน 131 แต่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังดังที่กล่าวมาข้างต้นนะครับ
บทความโดย เภสัชกร มรุพงษ์ พชรโชค
บรรณานุกรม